วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

พระประวัติ

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์

พระประวัติ

            สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์   เป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  และพระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย ทรงมีพระนามเดิมว่า  “ พระองค์เจ้าจิตรเจริญ “  เป็นพระราชโอรสองค์ที่  62  ทรงเป็นต้นราชสกุล “ จิตรพงศ์ ”

            ประสูติเมื่อวันอังคาร เดือน 6  ชึ้น 11 ค่ำ ปีกุน  จ.ศ. 1225  ตรงกับวันที่  28  เมษายน  พ.ศ. 2406  ภายในพระบรมมหาราชวัง ทรงได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าจิตรเจริญ สิงหนาม “ ทรงมีพระเชษฐภคินีร่วมพระมารดาพระองค์เดียวคือ  “ พระองค์เจ้าหญิงกรรณิกา “




            ปี พ.ศ. 2428  พระองค์ทรงได้รับการสถาปนาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็น พระองค์เจ้าต่างกรม  มีพระนามว่า “ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนนริศรานุวัติวงศ์ “

            วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2490  พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์โดยสงบ  มีพระชันษา 83 ปี   มีการจัดพิธีพระราชทานพระเพลิงพระศพ ณ ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 11 เมษายน  พ.ศ. 2493  โดยใช้พระเมรุองค์เดียวกับพระเมรุมาศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

            พระองค์ทรงรับราชการสนองในตำแหน่งต่าง ๆ เช่น เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ, เสนาบดีกระทรวงพระคลัง , เสนาบดีกระทรวงกลาโหม , ผู้บังคับบัญชากรมยุทธนาธิการ , ผู้บัญชาการทหารเรือ  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสถาปนาพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัติวงศ์ ขึ้นเป็น “ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัติวงศ์ “ในปี พ.ศ. 2448

            ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระองค์ยังคงรับราชการส่วนพระองค์  โดยทรงออกแบบงานต่าง ๆ ตามพระราชประสงค์เช่น พระโกศพระบรมอัฐิและพระวิมานทองคำลงยาราชาวดีสำหรับประดิษฐานพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เป็นตัน  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง มีพระบรมราชโองการเลื่อนกรมสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนริศรานุวัติวงศ์ ขึ้นเป็น “ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ “

            ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระองค์ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่กับงานศิลปะและวิทยาการ  ทรงพระชราและมีโรคภัยเบียดเบียนคือ โรคพระหทัยโต หลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคเส้นพระโลหิตแข็ง พระองค์ทรงรับตำแหน่งเป็นอภิรัฐมนตรีที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน  และทรงดำรงตำแหน่งนี้จนเปลี่ยนแปลงการปกครอง  ทรงรับตำแหน่งอุปนายกราชบัณฑิตยสภาแผนกศิลปากร  เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จต่างประเทศ  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งพระองค์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่วันที่  12 มกราคม พ.ศ. 2476  จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ

            ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เลื่อนสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์ ขึ้นเป็น  “ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ “

            พระปรีชาสามารถรวมทั้งพระอัจฉริยภาพทางด้านศิลปะวิทยาการแขนงต่าง ๆ ของพระองค์  ทรงเป็นที่ชื่นชมและยกย่องจากคนทั่วโลก  จากการที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ได้คัดเลือกบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิในหลาย ๆ ด้านเพื่อยกย่องเป็นบุคคลสำคัญของโลก 

            ในปีพุทธศักราช 2506 ในวาระฉลองวันประสูติครบ 100 พรรษา  องค์การยูเนสโกได้ลงมติให้พระองค์เป็นบุคคลสำคัญของโลก  โดยพิจารณาว่า  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์  ทรงเป็นรัฐบุรุษ  ทรงพระปรีชาสามารถ   ทรงเป็นนักปราชญ์ทางอักษรศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี วัฒนธรรมและประเพณีต่าง ๆ และทรงเป็นศิลปินในสาขาต่าง ๆ 


การระลึก

            วันที่ 28 เมษายน  เป็นวันครบรอบวันประสูติของพระองค์  จะมีงาน “ วันนริศ “ ณ ตำหนักปลายเนิน คลองเตย  มีการแสดงละคร  การบรรเลงเพลงพระนิพนธ์ การตั้งแสดงงานฝีพระหัตถ์บางชิ้น  และมีการมอบ “ ทุนนริศรานุวัดติวงศ์ “ แก่นักศึกษาในสาขาวิชาศิลปะ


พระกรณียกิจ

ด้านราชการ

            พระองค์ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงดังนี้ กระทรวงโยธาธิการ,กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ,กระทรวงกลาโหม และกระทรวงวัง

            พระองค์ทรงเป็นผู้นำทางทหาร, ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และรัฐบะรุษผู้ทรงพระปรีชา มีการจัดตั้งกรมโยธาธิการขึ้นในปี พ.ศ. 2432 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นเจ้ากรมหรืออธิบดีกรมฯพระองค์แรก  เมื่อกรมฯ แห่งนี้ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวงก็ทรงได้รับโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ 

ทรงได้รับพระสมัญญานามว่า “ นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม

            ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระองค์ทรงรับตำแหน่งอภิรัฐมนตรีที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน , อุปนายกราชบัณฑิตยสภา แผนกศิลปากร และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้กำกับการพระราชวงศ์ มีหน้าที่สนองพระเดชพระคุณในพระราชกรณียกิจส่วนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว   และดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จยังต่างประเทศ จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ

ด้านศิลปกรรม 

            งานสถาปัตยกรรมที่โปรดทำมากคือ แบบพระเมรุ  โดยตรัสว่า “ เป็นงานที่ทำขึ้นใช้ชั่วคราวแล้วรื้อทิ้งไป  เป็นโอกาสได้ทดลองใช้ปัญญาความคิดแผลงได้เต็มที่  จะผิดพลาดไปบ้างก็ไม่สู้กระไร  ระวังเพียงอย่างเดียวคือเรื่องทุนเท่านั้น “

            ในด้านหนึ่ง ทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะแขนงต่างๆ ทั้งวิจิตรศิลป์ สถาปัตยศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และวรรณศิลป์ ในช่วงเวลาที่กระแสอารยธรรมตะวันตกถาโถมเข้าใส่สยาม ศิลปะของเราซึ่งมีระเบียบแบบแผนขนบธรรมเนียมเคร่งครัด ต้องเผชิญหน้ากับการท้าทายจากอิทธิพลของศิลปะตะวันตก พระองค์ทรงประยุกต์ปรับปรุงวิจิตรศิลป์ซึ่งเป็นศิลปะประจำชาติไทยด้วยการศึกษาเชิงลึกถึงรากเหง้า และคลี่คลายรูปแบบทางศิลปะให้มีความเป็นสากลจนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก อันเป็นการประกาศถึงความเป็นอารยประเทศที่มีรากฐานทางศิลปวัฒนธรรมอันงดงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชาติใดในโลก
            ตลอดพระชนม์ชีพฯ ทรงอุทิศเวลาให้แก่การสร้างสรรค์ งานช่างหลากสาขา ผลงานที่ทรงรังสรรค์ไว้นับเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจที่สำคัญให้แก่ช่างและศิลปินในยุคหลัง ทรงเป็นกำลังสำคัญในการอนุรักษ์มรดกศิลปกรรมไทย และทรงส่งเสริมผู้มีความรู้ความสามารถให้เป็นกำลังสำคัญในการสืบทอดมรดกงานช่างศิลป์ไทยจนได้รับยกย่องให้เป็น สมเด็จครู ของช่างทั้งปวง

            สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยานริศรฯ  ทรงเป็นที่เคารพยกย่องในด้านงานศิลปะ  แม้การใช้สีแต่งหน้า  ทรงอธิบายได้อย่างชัดเจนและถูกหลักเกณฑ์  เพราะทรงชำนาญจากการปฏิบัติ  คือการแต่งหน้าละคร  พระปรีชาสามารถของพระองค์ในด้านศิลปะนั้น  นอกจากจะค้นหาดูจากหนังสือพระประวัติและฝีพระหัตถ์  ซึ่งพิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงพระศพ ณ พระเมรุท้องสนามหลวง  และหนังสือเรื่อง ตาลปัตรซึ่ง ม.จ.หญิง ดวงจิตร จิตรพงศ พระธิดาทรงนิพนธ์ขึ้นในงานพระราชทานเพลิงศพ ม.ร.ว.โต จิตรพงศ ชายาแล้ว จะค้นหาได้จากพระนิพนธ์ สาส์นสมเด็จอันเป็นลายพระหัตถ์ ทรงโต้ตอบกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น ๔ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และลายพระหัตถ์ถึงบุคคลต่างๆ อีกมากมาย
            ด้านงานช่างของสมเด็จฯ โดยเฉพาะด้านจิตรกรรมนั้น  ผู้ที่ได้เห็นจะต้องออกปากว่า มีชีวิตชีวาซึ่งสมเด็จฯ ตรัสเรียกว่ากระดิกได้ สมเด็จฯ เองก็ได้ทรงเล่าไว้ว่า

“... เดาน้อยที่สุด คือต้องดูของจริงในบ้านเรา ถ้าไม่เช่นนั้นก็หลง ...

            ด้วยเหตุนี้  เมื่อจะทรงเขียนรูปวัวเป็นลายปักงานศพเจ้าจอมมารดาหรุ่น  จึงทรงเช่าวัวของแขกมายืนเป็นแบบอยู่หลายวัน  และเมื่อจะทรงเขียนรูปหมี ซึ่งเป็นพาหนะของอธรรมเทวบุตรในเรื่องธรรมาธรรมะสงคราม  ก็เสด็จไปทอดพระเนตรตัวหมีจริงๆ ซึ่งเป็นพาหนะของอธรรมเทวบุตร  ที่บ้านคุณพระศัลยเวทวิศิษฐ์ (สาย  คชเสนี)

ที่มาจาก http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2008/04/K6518376/K6518376.html


ด้านสถาปัตยกรรม

  • การออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2442
  • การออกแบบก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร  เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่  4 มิถุนายน พ.ศ. 2445 หรือ ร.ศ. 121
  • การออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถวัดราชาธิวาส

พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร

            สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถและถาวรวัตถุอื่น ๆ และมีพระยาราชสงคราม (กร หงสกุล) เป็นนายช่างก่อสร้าง ทรงออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถพร้อมพระระเบียงอย่างวิจิตรงดงามด้วยแบบอย่างศิลปะและสถาปัตยกรรมไทยโบราณ โดยลักษณะของพระอุโบสถ เป็นแบบจัตุรมุข  มุขด้านตะวันออกขยายยาว ด้านเหนือและใต้มีมุขกระสันต่อกับพระระเบียง  หลังคา 4 ชั้น  ด้านมุขกระสันทิศเหนือและทิศใต้ 5 ชั้น  มีพระระเบียงโอบรอบด้านหลัง

            สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบพระระเบียง ให้เชื่อมต่อมุขกระสันพระอุโบสถ ทั้งด้านทิศเหนือและทิศใต้ โอบอ้อมไปบรรจบด้านหลังพระอุโบสถ โดยเว้นเนื้อที่เป็นลานกว้าง มีประตูด้านทิศตะวันตก ตรงกับมุขตะวันตกของพระอุโบสถ ด้านใต้และด้านเหนือ มีด้านละ ๒ ประตู บานประตูด้านนอกติดแผ่นโลหะนูนภาพเสี้ยวกาง ด้านในเขียนลายรดน้ำภาพเหมือนกับด้านนอก


            พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรและพระระเบียงที่ประดับตกแต่งแล้ว จึงวิจิตรงดงามสมบูรณ์แบบด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรมไทยโบราณอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง

ลักษณะของพระอุโบสถ

            ด้านหน้าพระอุโบสถมีกำแพงแก้ว  บนมุมกำแพงแก้วซ้าย-ขวา มีเสาคอนกรีตหัวเสาเป็นศิลาสลักรูปดอกบัวตูม คือ เครื่องหมาย “ สีมา “ สำหรับด้านหน้า  ส่วนสีมาด้านหลังพระอุโบสถ สลักรูปเสมาธรรมจักรที่แผ่นหินแกรนิตปูพื้นภายในกำแพงแก้วปูหินแกรนิตสีชมพูอ่อนและสีเทา

            มุขตะวันออกมีเสากลมหินอ่อน 4 ต้น ข้างบันไดหินอ่อนมีสิงห์สลักหินอ่อน 2 ตัว  ซึ่งขุนสกลประดิษฐ์ ช่างในกรมสิบหมู่ เป็นผู้ปั้นแบบตามภาพที่สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงเขียน

ผนังรอบพระอุโบสถด้านนอกประดับด้วยแผ่นหินอ่อน 4 เหลี่ยมสีขาวบริสุทธิ์ หนา 3 เซนติเมตร

ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ลำยอง ลงรักปิดทองทึบ อ่อนช้อยรับกันทุกชิ้นมีคันทวยรับเชิงชายเป็นระยะ ๆ


หลังคาพระอุโบสถมุงกระเบื้องเคลือบสีเหลือง เรียกว่า กระเบื้องกาบู มีลักษณะเป็นกาบโค้งครอบแผ่นรองเชิงชายเป็นแผ่นเทพนม  ซึ่งโปรดเกล้าให้นำกระเบื้องวัดกัลยาณมิตร  ส่งไปเป็นตัวอย่างทำสีที่เมืองจีน





หน้าบันพระอุโบสถ  โปรดเกล้าให้ผูกลายประกอบพระราชลัญจกรต่างๆ คือ

1.หน้ามุขตะวันออก จำหลักไม้  ผูกลายประกอบตราเป็นพระนารายณ์ทรงครุฑ  ซึ่งถอดจากพระราชลัญจกร “พระครุฑพาห์ “ ในลายมีหมู่เทวดาอัญเชิญเครื่องสูงประกอบซ้ายชวา

2.มุขตะวันตก จำหลักไม้  ผูกลายประกอบตราเป็นอุณาโลมในบุษบก  ซึ่งถอดจากพระราชลัญจกร “ มหาอุณาโลม “ หรือ “ มหาโองการ “

3.มุขเหนือ  ปั้นปูน  ผูกลายประกอบตราเป็นช้างสามเศียร  บนหลังมีบุษบก  ซึ่งถอดจากพระราชลัญจกร “ ไอยราพต “

4. มุขใต้  ปั้นปูน  ผูกลายประกอบตราเป็นรูปจักรรถ  ซึ่งถอดมาจากพระราชลัญจกร “ จักรรถ “ แต่พระราชลัญจกรจักรรถเหมือนกับ “ พระธรรมจักร “ จึงเรียกอีกชื่อว่า “ พระธรรมจักร “

            ในการผูกลายประกอบพระราชลัญจกร  มีพระเจ้าบวรวงศ์เธอ กรมหมื่นวรวัฒน์ศุภากร (พระองค์เจ้าเฉลิมลักษณวงศฺ ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ช่วยเขียนแบบด้วย  ในกำกับของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์

            บานประตูด้านนอกติดแผ่นโลหะนูน ภาพเทวดารักษาประตู ( ทวารบาล )  ด้านในเขียนลายรดน้ำภาพเหมือนกับด้านนอก 

            บานหน้าต่างด้านนอกติดแผ่นโลหะนูนภาพมาร ( ยักษ์ )แบก  ด้านในเขียนลายรดน้ำภาพเหมือนด้านนอก

            ภายในพระอุโบสถ  มุขตะวันตกประดิษฐานพระพุทธชินราช  ด้านหน้าพระพุทธชินราชเป็นรั้วหินอ่อนกลมสีเขียวหยก

            พระแท่นรัตนบัลลังก์พระพุทธชินราช ผนังเสมอกรอบหน้าต่าง  และพื้นพระอุโบสถประดับหินอ่อนหลากสี ณ พระแท่นรัตนบัลลังก์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  โปรดเกล้าให้บรรจุพระสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระองค์ผู้ทรงสถาปนาวัด

            ผนังเหนือกรอบหน้าต่างขึ้นไปซึ่งเป็นส่วนถือปูน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ช่างกรมศิลปากรเขียนลายไทยเทพนมทรงพุ่มข้าวบิณฑ์สีเหลืองบนพื้นขาวอมเหลืองอ่อนจนถึงเพดาน


            เหนือหน้าต่าง 10 ช่อง เป็นช่องกระจกรับแสง เขียนสีลายไทยเทพนม โดยช่างกรมศิลปากร   ออกแบบสั่งทำจากเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี  ในปี พ.ศ. 2497 โดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ เป็นเจ้าภาพ

            ด้านบน ขื่อใน และขื่อนอก 3 ชั้น ลงรักปิดทองลายรดน้ำ  เพดานในล่องชาด ประดับดาวกระจาย 232 ดวง  ดาวใหญ่ 11 ดวง มีโคมไฟระย้าแก้วขาวอย่างดีตราเลข 5 ซึ่งเป็นตราวัดเบญจมบพิตร  6 โคม พร้อมสายบรอนซ์สั่งจากประเทศเยอรมนี

            ช่องคูหาทั้ง 8 เขียนภาพสถูปเจดีย์ที่สำคัญทุกภาค  จัดเป็น “ จอมเจดีย์ “ ในประเทศไทย โดยกรมศิลปากรออกแบบและเขียนเสร็จในปี พ.ศ. 2489  ประกอบด้วย พระมหาธาตุ จังหวัดลพบุรี , พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม , พระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช ,พระเจดีย์ชัยมงคล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา , พระมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย , พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ,พระมหาธาตุหริภัญชัย จังหวัดลำพูน  และพระศรีรัตนธาตุ จังหวัดสุโขทัย

 
           สำหรับหินอ่อนที่ประดับตกแต่งพระอุโบสถ พระระเบียง ตลอดจนสถานที่อื่น ๆ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงวัดขนาดทำแบบส่งไปเป็นตัวอย่าง เรียกประกวดราคาโดยตรงจากบริษัทขายหินอ่อน ประเทศอิตาลี โดยมีวิศวกรและสถาปนิกชาวอิตาเลียนเป็นผู้ช่วย

  




อาคารโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร

            พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ให้สร้างขึ้นเพื่อ “ สอนศิษย์ซึ่งเป็นคฤหัสถ์ “  เนื่องจากวัดเบญจมบพิตรตั้งอยู่ห่างไกล  บรรดาศิษย์วัดไม่สะดวกที่จะเดินทางไปเล่าเรียน  พระราชทานกำเนิดเมื่อ ร.ศ. 119 ( พ.ศ. 2443 )เบื้องต้นเป็นอาคารชั่วคราวหลังคามุงจากใช้เสื่อลำแพนกั้นเป็นประตูและหน้าต่าง   พระองค์ทรงกำหนดหลักสูตรแนวการสอนด้วยพระองค์เองและเปิดสอนตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2444 เป็นโรงรียนในพระบรมราชูปถัมภ์โดยตรง  ไม่ขึ้นกับกระทรวงธรรมการ   ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่และเสนาบดีกระทรวงธรรมการ  วางแผนปรับปรุงโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร   โดยพระองค์ได้พระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างอาคารถาวร 

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ออกแบบก่อสร้าง  เป็นตึกทรงยุโรป





พระอุโบสถวัดราชาธิวาส


            พระอุโบสถ  เป็นทรงขอมคล้ายนครวัด  แต่เป็นลวดลายปูนปั้นผินหน้าไปทางทิศตะวันตก  มีแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหน้าวัด

            พระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร ถนนสามเสน ซึ่งเป็นวัดต้นกำเนิดพระคณะธรรมยุต แปลกจากพระอุโบสถในยุคเดียวกัน คือเป็นลักษณะนครวัดในประเทศกัมพูชา ทั้งหน้าบัน หลังคา เสารับโครงสร้างและประตูหน้าต่างล้วนแต่ออกไปทางขอมหรือเขมร แม้กระทั่งสะพานบันไดนาคข้ามคูหน้าพระอุโบสถก็เป็นลักษณะเดียวกับสะพานที่ หน้าปราสาทนครวัดของเขมร

            เมื่อเข้าไปในพระอุโบสถซึ่งไม่กว้างใหญ่นัก แต่ได้แบ่งออกเป็นห้องถึง 3 ห้อง แต่ละห้องมีประโยชน์ใช้สอยต่างกัน การแบ่งออกเป็นห้องเป็นพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ผู้ที่ทรงออกแบบพระอุโบสถหลังนี้ และเป็นหลังเดียวในประเทศไทยคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เอกอุศิลปินของชาติไทย

            สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบสร้างใหม่โดยให้รักษาผนังเดิมไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานสำคัญของฝ่ายธรรมยุต จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถเป็นภาพเขียนเทคนิคฝรั่งที่เรียกว่า สีปูนเปียก แสดงเรื่องพระเวสสันดรชาดก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเป็นผู้ร่างภาพ นายริโกลี ชาวอิตาลี (ผู้เขียนภาพบนเพดานโดมในพระที่นั่งอนันตสมาคม) เป็นผู้เขียน

            ศาลาการเปรียญตั้งอยู่หน้าวัด เป็นศาลาการเปรียญสร้างด้วยไม้สักทั้งหลังที่สวยงาม จุคนได้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันคน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงให้สร้างเลียแบบจากศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี


            ลักษณะของพระอุโบสถด้านหน้ามีประตู 3 ช่อง มีห้องเป็น 3 ตอน ห้องหน้าเป็นระเบียง ห้องกลางเป็นห้องพิธี มีพระสัมพุทธพรรณีเป็นพระประธาน  มีเศวตฉัตร 9 ชั้น ( ร.5 หล่อพระราชทาน )

            หลังประธานเป็นซุ้มคูหา  เบื้องบนมีภาพพระพุทธเจ้าอยู่เหนือเมฆกำลังตอบปัญหาของพระสารีบุตรและพระอินทร์เฝ้า  ใกล้พระประธานมีรูปศากยกษัตริย์พระประยูรญาติมาเฝ้าอยู่เบื้องหลัง

ซุ้มคูหาเป็นตราประจำ 5 รัชกาล คือ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 5



บนเพดานเป็นลวดลายมีดาวเป็นที่เสียบหลอดไฟฟ้า


ฝาผนังทั้ง 3 ด้าน มีภาพเขียนพระเวสสันดรชาดกทั้ง 13 กัณฑ์ เขียนโดยศาสตราจารย์ชาวอิตาเลียนชื่อ “ ริโคลี “

บานประตูหน้าต่างทุกบานลายรดน้ำ ทรงข้าวบิณฑ์  ด้านในเป็นภาพเทวรูปทุกช่อง

            ตอนหลังสุดมีผนังห้องและประตูผ้าม่านผ่านถึงตอนที่ 3 ห้องนี้เป็นที่ประดิษฐ์พระประธานองค์เดิมของวัดนามว่า “ พระสัมพุทธวัฒโนภาส “

            ใต้ฐานชุกชีแห่งพระสัมพุทธพรรณีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ประดิษฐานพระราชสรีรางคารสมเด็จพระนางเจ้าพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

            ในรัชกาลปัจจุบันทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บรรจุพระบรมราชสรีรางคารสมเด็จพระศรีสวรินทรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าไว้ภายใต้ฐานชุกชีพระสัมพุทธวัฒโนภาส    และเมื่อ พ.ศ. 2528 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้บรรจุเส้นพระเกศาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ด้วยเนื่องจากพระอุโบสถหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2450 ( ร.ศ. 127 )

            งานด้านสถาปัตยกรรมเป็นงานที่พระองค์ทรงพิถีพิถันมาก  เพราะตรัสว่า “ ต้องระวังเพราะสร้างขึ้นก็เพื่อความพอใจ ความเพลิดเพลินตา ไม่ใช่สร้างขึ้นเพื่ออยากจะรื้อทิ้ง ทุนรอนที่เสียไปก็ใช่จะเอาคืนมาได้  ผลที่สุดก็ต้องทิ้งไว้เป็นอนุสาวรีย์สำหรับขายความอาย “
            นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีผลงานออกแบบซ่อมสร้างอีกมากมาย อาทิ หมู่พระที่นั่งในพระบรมมหาราชวัง โดยเฉพาะพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และปราสาทเทพบิดร ออกแบบพระที่นั่งราชฤดี ประตูและกำแพงวังท่าพระ รวมถึงงานออกแบบพระเมรุมาศในงานพระศพของพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ และทรงทูลขอปรับปรุงพื้นที่สนามหลวงให้เป็นพื้นที่ประกอบพระราชพิธีต่างๆ จัดงานสำคัญ รวมถึงเป็นศูนย์รวมให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ ร่วมชุมชน จัดกิจกรรม การแสดง และการละเล่นมหรสพต่างๆ ดังที่ได้เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

ที่มา หนังสือจะวันวาน จะวันไหน จะภูมิใจ กรมโยธาธิการและผังเมือง


ด้านภาพจิตรกรรม
  •  ภาพเขียนสีน้ำมันประกอบพระราชพงศาวดาร แผ่นดินพระเจ้าท้ายสระ ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นภาพช้างทรงพระมหาอุปราชแทงช้างพระที่นั่ง
  • ภาพเขียนรถพระอาทิตย์ที่เพดานพระที่นั่งภานุมาศจำรูญ( พระที่นั่งบรมพิมาน )
  • ภาพจิตรกรรมมัจฉาชาดกที่หอพระคันธารราษฎรในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
  • ภาพร่างเรื่องพระเวสสันดรชาดกสำหรับเขียนลงบนผนังอุโบสถวัดราชาธิวาส
  • ภาพเขียนพระสุริโยทัยขาดคอช้าง


  • ภาพประกอบเรื่องธรรมาธรรมะสงคราม 


  • ภาพแบบพัดต่าง ๆ

งานออกแบบ

  • ออกแบบตรากระทรวงต่าง ๆ
  • อนุสาวรีย์ทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1
  • องค์พระธรณีบีบมวยผมที่เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา
  • พระบรมรูปหล่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า


  • ออกแบบพระเมรุมาศและพระเมรุของพระบรมวงศ์หลายพระองค์

ด้านวรรณกรรม

มีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น


  • โคลงประกอบภาพจิตรกรรมภาพพระราชพงศาวดาร
  • โคลงประกอบเรื่องรามเกียรติ์ ทรงพระราชนิพนธ์เมื่องานฉลองพระนครครบรอบร้อยปี
  • ลายพระหัตถ์โต้ตอบประทานบุคคลต่าง ๆ เช่น จดหมายเวรโต้ตอบกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณี  ซึ่งต่อมาพิมพ์ในชื่อ “ สาสน์สมเด็จ “
  • ลายพระหัตถ์ประทานความรู้ในลักษณะจดหมายโต้ตอบพระสารประเสริฐและพระยาอนุมานราชธนเรื่องภาษาและประเพณี ซึ่งลายพระหัตถ์เหล่านี้เป็นเหมือนคลังความรู้สำหรับผู้สนใจศึกษาค้นคว้าทั่วไป


ด้านดุริยางคศิลป์และนาฎศิลป์

ทรงสนพระทัยทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากล  โดยเฉพาะดนตรีไทยทรงถนัดเล่นปี่พาทย์และระนาดมากกว่าดนตรีอื่น ๆ
เพลงพระราชนิพนธ์
  • 1.เพลงสรรเสริญพระบารมี ( คำร้อง )
  • เพลงเขมรไทรโยค
  • เพลงตับ เช่น ตับแม่ศรีทรงเครื่อง ตับเรื่องขอมดำดิน

ด้านบทละคร

ทรงนิพนธ์บทละครดึกดำบรรพ์ไว้หลายเรื่อง
  • สังข์ทอง ตอนทิ้งพวงมาลัย ตีคลี และตอนถอดรูป
  • คาวี ตอนเผาพระขรรค์ ชุบตัว และตอนหึง
  • อิเหนา ตอนตัดดอกไม้ฉายกริช ไหว้พระ และตอนบวงสรวง
  • รามเกียรติ์ ตอนศูรปนขาตีสีดา


สรุป

            พระองค์เป็นผู้ที่ขยันศึกษาเล่าเรียน สนใจและสร้างผลงานมากมายทรงเปิดรับวัฒนธรรมของต่างชาติเข้ามาประยุกต์ใช้ ปรับปรุงและก่อให้เกิดรูปแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของความเป็นไทยซึ่งมีความเป็นสากล ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อต่างชาติ

            งานด้านสถาปัตยกรรมเป็นงานที่พระองค์ทรงพิถีพิถันมาก  เพราะตรัสว่า “ ต้องระวังเพราะสร้างขึ้นก็เพื่อความพอใจ ความเพลิดเพลินตา ไม่ใช่สร้างขึ้นเพื่ออยากจะรื้อทิ้ง ทุนรอนที่เสียไปก็ใช่จะเอาคืนมาได้  ผลที่สุดก็ต้องทิ้งไว้เป็นอนุสาวรีย์สำหรับขายความอาย “ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของการออกแบบสถาปัตยกรรมที่ดี มิใช่การออกแบบเพียงเพื่อสนองความต้องการของผู้ออกแบบแต่ต้องคำนึงถึงคุณประโยชน์ด้านต่างๆของอาคารด้วย

            คติประจำใจของพระองค์ “ ถ้าทำไม่ดี ไม่ทำเสียดีกว่า “ ให้แง่คิดในการทำงาน  เราควรมีความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อความสมบูรณ์แบบของงานนั้น ๆ

           




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น